how-to-top-on-google-6

"พี่ครับอยากติดหน้า1 Google ต้องทำอย่างไร " คงเป็นคำถามยอดฮิตที่หลายๆคนกำลังพยายามค้นหาคำตอบ วันนี้ตัวผู้เขียนเองในฐานะที่ทำงานด้านการออกแบบเว็บไซต์ และโฆษณาให้ลูกค้ามาแล้วหลายราย จึงพอจะจับจุดได้บ้างว่าเว็บแบบไหนที่มีโอกาศติดหน้าแรกของGoogle เผื่อว่าบทความนี้อาจจะเป็นประโยชน์ต่อคุณผู้ชมบ้างไม่มากก็น้อยครับ

  

1. โครงสร้างเว็บดีมีชัยไปกว่าครึ่ง

การออกแบบโครงสร้างเว็บถือว่ามีความสำคัญมากที่สุด เพราะถือเป็นการจัดวางContentต่างๆ ของธุรกิจเราให้ดูมีพลัง น่าดึงดูด ซึ่งเราต้องจัดองค์ประกอบของข้อมูลให้ออกมาดูเป็นระบบยกตัวอย่างเช่น

  • Banner ต้องเด่น
  • ราคาต้องชัด
  • หน้าเมนูช่องทางการติดต่อเราที่ชัดเจน
  • ตกแต่งเว็บดึงดูด เข้ากับธุรกิจ
  • ข้อมูลต่อ 1 หน้าเมนูต้องไม่เยอะหรือน้อยจนเกินไปbest-web-design-pattern

2.เว็บที่ดีต้องมีบทความ(Blog)

ปัจจุบันบริษัท Google ได้ส่งGoogle Bot ไปยังเว็บไซต์ต่างๆ ทั่วโลก เพื่อตรวจสอบหาค่าความถี่ของการอัพเดทข้อมูล สินค้า หรือบทความของเว็บไซต์ว่าอัพเดทข้อมูลบ่อยเพียงใด ก๊อปปี้ใครมาหรือเปล่านะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ระบบGoogle Bot จะชอบและให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่มีการเขียนบทความประเภทBlogเป็นอย่างสูง ซึ่งจากประสบการณ์โดยตรงของผู้เขียนสามารถยืนยันได้เลยว่า เว็บที่มีบทความ จะมีโอกาศติดหน้าแรกๆ ของGoogle สูงกว่าเว็บทั่วๆไป 

how-to-top-on-google-3

 

3.อย่าลืมติด SSL หน้าชื่อโดเมนเว็บไซต์ของเรา

การติด SSL หรือถ้าไม่รู้ว่าคืออะไรให้สังเกตุได้จากรูปแม่กุญแจที่ติดอยู่หน้าชื่อเว็บไซต์ว่ามีติดอยู่หรือไม่ ซึ่งถึงแม้ว่าSSLจะเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆ แต่ก็นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งในด้านของSecurity เพราะหากเว็บไหนไม่ติดSSL  จะทำให้Googleจะไม่รับรองความปลอดภัยให้กับเว็บไซต์ และส่งผลกระทบทางด้านลบต่อการจัดอันดับเว็บไซต์โดยGoogle และนอกจากนี้บริษัทบางแห่งจะBlockเว็บที่ไม่ได้ทำการติดSSLไม่ให้คนในองค์กรเข้าดู เพราะถือว่าเป็นเว็บความปลอดภัยต่ำ ซึ่งตรงนี้อาจจะทำให้เราพลาดลูกค้ารายใหญ่ไปได้เลย  

Untitled-14

4.อย่าลืมใส่Favicon  (โลโก้เว็บไซต์ของเราตรงแถบBrowserด้านบน)

Favicon หรือ Mini Logo คือส่วนเล็กๆ ที่มีความสำคัญไม่น้อยกว่า SSL เพราะทำให้เรารูว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ที่หน้าเว็บอะไร ช่วยให้เราแยกเว็บไซต์ของเราออกจากเว็บอื่นๆได้ชัดเจนและง่ายต่อการค้นหาในกรณีเราเปิดเว็บไซต์หลายๆ แถบ พร้อมกัน นึกไม่ออกดูที่รูปประกอบได้เลยครับ

 how-to-top-on-google-4

 website-or-facebook-page-which-one

 

 Facebook Page คืออะไร?

Facebook Page คือช่องทางการนำเสนอสินค้าและบริการไปยังกลุ่มลูกค้าผ่านตัวกลางคือ Facebook ซึ่งมีข้อดีคือลงทุนน้อย หรือแทบไม่ต้องลงทุนอะไรเลย สามารถโฆษณาสินค้าและบริการได้ทันที

 facebook-page

ข้อเสีย Facebook Page 

  • หากทำรูปภาพโฆษณาหรือแบนเนอร์ไม่สวย หรือสินค้าไม่น่าสนใจ ก็อาจจะไม่ได้ลูกค้าจากช่องทางนี้เลย
  • ต้องปั่นโพส หรืออัพเดทสินค้าเรื่อยๆ เพื่อความน่าสนใจ
  • ยุ่งยากในการโต้ตอบกับลูกค้าเพราะจะต้องคุยกันผ่านทาง Inbox เท่านั้น
  • ขาดความน่าเชื่อถือ
    ลูกเล่นน้อยเพราะเป็นสำเร็จรูป

 

เว็บไซต์คืออะไร?

เว็บไซต์คือช่องทางการนำเสนอสินค้าและบริการผ่านทางโดเมนเว็บไซต์ หรือ www.   โดยผ่านตัวกลางคือBrowserต่างๆ เช่น Chrome ,Internet ,Firefox และอีกมากมาย ซึ่งมีข้อดีคือสามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจได้เป็นอย่างสูง ซึ่งหากเราทำเว็บให้ละเอียด สวยงาม และมีข้อมูลครบถ้วนก็จะสามารถติดหน้าแรกๆ ของการค้นหาGoogleได้ จึงนับได้ว่าเป็นช่องทางที่มีประโยชน์และคุ้มค่าอย่างเป็นอย่างมาก เพราะเปรียบเสมือนมีร้านค้าบนโลก Online ที่มีคนเดินเข้าออกทุกวันเป็นจำนวนมากทุกวัน และที่สำคัญสามารถเปิดรับลูกค้าได้จากทั่วทุกมุมโลก Amazing สุดๆ

 easy-fine-maid-pic

website-or-facebook-page-which-one

ข้อเสีย

  • ลงทุนตอนแรกค่อนข้างสูง
  • ไม่เหมาะกับธุรกิจ Start up 
  • ต้องใช้เวลาและความละเอียดในการสร้างเว็บไซต์
  • หากทำเว็บไซต์ด้วยตัวเอง ต้องใช้เวลา และยุ่งยากมาก  ต้องจ้างบริษัทผู้จัดทำเว็บ ซึ่งก็อาจจะมีโอกาสโดนหลอก หรือได้งานไม่ดี
  • หาคนทำเว็บเก่งๆ ยากมากๆ ส่วนใหญ่ มีแต่มือสมัครเล่น 
  • ต้องต่ออายุ Domain และ Hosting ทุกปีซึ่งเสียค่าใช้จ่าย

download

 browser-vs-facebook-advantagae

Google My Business

Google My Business คือบริการพิเศษของGoogle ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแสดงสถานที่ตั้งของธุรกิจบนแผนที่ Google Map  เช่น โรงแรม ร้านค้า รีสอร์ต ร้านอาหาร หรืออื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งมีข้อดีคือเมื่อมีใครพยายามค้นหาธุรกิจของเราผ่าน Google Search หรือ Google Map ระบบก็จะแสดงที่อยู่ธุรกิจของธุรกิจเราขึ้นมาพร้อมกับข้อมูลธุรกิจที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วน เช่น รูปภาพ เบอร์โทร Location เว็บไซต์ และ รีวิว จึงนับว่าบริการGoogle My business เป็นบริการที่มีประโยชน์กับเจ้าของกิจการเป็นอย่างสูงเพราะสามารถอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่ต้องการเข้ามาติดต่อธุรกิจกับเราได้เป็นอย่างดี

 

google-my-business-meaning

f

ข้อดีของGoogle My Business 

  • ทุกคนมีโอกาศมองเห็นธุรกิจของเราบนแผนที่ Google
  • สามารถเพิ่มข้อมูลธุรกิจได้ เช่น ที่อยู่ รูปภาพ เบอร์โทร หรือ รีวิวธุรกิจ
  • เพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าที่ต้องการเดินทางมายังธุรกิจของเรา
  • เพิ่มช่องทางและโอกาศในการขายสินค้าและงานบริการมากขึ้น
  • สามารถใช้งานได้ตลอดชีพ

 

ตัวอย่างGoogle My Businessgoogle-mybusiness-sample

 

 

 

54

finexdesign-blog-compare-google-ads-vs-facebook-ads
ปัจจุบันผมเชื่อว่าเพื่อนๆ หลายคน ที่กำลังทำธุรกิจออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขายสินค้า หรืองานบริการ อาจจะเคยมีคำถามและอดสงสัยไม่ได้ว่า  ระหว่าง Google Adwords กับ Facebook Ads ว่าการทำโฆษณาด้วยวิธีใดที่จะเหมาะสมกับธุรกิจของเรามากที่สุด ซึ่งวันนี้ผมจะมาอธิบายและให้คำแนะนำเผื่อว่าบทความนี้อาจจะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆ ไม่มากก็น้อยครับ

 

 

Google Adwords คืออะไร
Google Adwords คือช่องทางการทำโฆษณาธุรกิจบนโลกออนไลน์ โดยมี Google เป็นตัวกลางในการทำโฆษณาระหว่างธุรกิจของเรากับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย โดยการนำ Link ของเว็บไซต์เรา(หรือบางคนอาจจะใช้link จาก Facebook )  มาตั้งค่าผ่านระบบAdwords ของ Google ผ่านlinks https://ads.google.com/

finex-google-adwords ข้อดีของ Google Adwords

  • สามารถโฆษณาเว็บของเราให้ติดหน้าแรกของ Google ได้อย่างรวดเร็ว
  • เป็นการทำการตลาดแบบลูกค้าวิ่งหาเรา***
  • สามารถจำกัดวงเงินในการทำโฆษณาได้
  • สามารถกำหนดเป้าหมายเช่น เพศ อายุ จังหวัด ในการทำโฆษณาได้
  • มีความยืดหยุ่นสูง 

 

452

ข้อเสียของการทำ Google Adwords

  • ค่าใช้จ่ายสูงมาก งบอาจบานปลาย เพราะบางครั้งมีแต่คนคลิกแต่ไม่โทรหาเรา
  • ราคาต่อคลิกค่อนข้างสูง ซึ่งบางโฆษณาค่าคลิกสูงถึง 250 บาท ต่อคลิก!!!!!!
  • ต้องมีทักษะและความชำนาญในการวิเคราะห์ keyword ก่อนโฆษณา
  • โดนคู่แข่งแกล้งกดโฆษณาของเราให้ตังหมด
  • หากเว็บไซต์ของเราดูไม่สวย หรือน่าดึงดูดก็มีสิทธิที่ลูกค้าจะเข้ามาส่องเฉยๆ แต่ไม่โทรหาเรา

 

 

 

f

 

 

Facebook Ads คืออะไร

Facebook Ads คือช่องทางการทำโฆษณาธุรกิจบนโลกออนไลน์โดยมี Facebook เป็นตัวกลางในการทำโฆษณาระหว่างธุรกิจของเรากับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย โดยจะพุ่งเป้าในการทำโฆษณาไปที่กลุ่มลูกค้าใน Social Network ของ Facebook เป็นหลัก

 

ข้อดีของการทำFacebook Ads

  • เหมาะกับการทำตลาดสินค้าหรืองานบริการที่ต้องการสร้างกระแส หรือใช้ในการเปิดตัวแบรนด์สินค้าได้ดี
  • เป็นการทำการตลาดแบบวิ่งหาลูกค้า (ซึ่งต่างจากของGoogle คือลูกค้าวิ่งหาเรา)
  • ราคาถูกกว่า ถ้าเทียบกับGoogle Adwords
  • ตั้งค่าวงเงินโฆษณาได้ และงบไม่บานปลายเท่า Google

 

ข้อเสียของการทำFacebook Ads

  • การอนุมัติโฆษณาค่อนข้างยาก หากสัดส่วนภาพโฆษณาไม่ตรงตามข้อกำหนด ก็จะไม่ได้รับการอนุมัติให้ทำโฆษณาได้
  • ลูกค้ามักจะ Inbox มาสอบถาม ซึ่งสำหรับผมตรงนี้ถือว่าเป็นข้อเสีย เพราะต้องนั่งเฝ้าFacebook ทั้งวัน
  • ไม่เหมาะกับการโฆษณาสินค้าที่มีราคาสูง หรือสินค้าที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก

 

เปรียบเทียบระหว่างGoogle Adwords และ Facebook Ads จากประสบการณ์โดยตรงของผู้เขียนfinexdesign-blog-compare-google-ads-vs-facebook-ads

 

 

cheerful-leader-motivating-his-business-team1262-3713

1.Inspiration/ แรงบันดาลใจ เกิดจากความชอบและความฝัน

แรงบันดาลใจ ความชอบ ความหลงใหล จงค้นหามันให้เจอว่าคุณชอบอะไร หรือถ้าคิดไม่ออกในนึกถึงเวลาคุณอยู่คนเดียวสิ่งแรกที่คุณคิดขึ้นมาว่าอยากทำมากที่สุดคืออะไร  หรือบางคนอาจจะมีงานอดิเรกทำในยามว่างอยู่แล้วยิ่งโชคดีมากกว่าคนอื่น เพราะคุณสามารถนำมันมาต่อยอดสร้างธุรกิจให้กับตัวคุณได้ในอนาคต

 

2.Brave / กล้าสู้ กล้าเผชิญหน้า

ความกล้าเท่านั้นที่จะทำผลักดันตัวคุณไปสู่หนทางแห่งความสำเร็จ เมื่อใดก็ตามที่คุณท้อแท้ สิ้นหวัง จงจำไว้ว่ายังมีคนในโลกอีกมากมายที่มีชีวิตแย่กว่าคุณ คุณไม่จำเป็นต้องปล่อยตัวเองให้แห้งตายไปพร้อมกับลมปากคนหรือสิ่งแวดล้อมรอบข้าง จงรีบเดินออกมาหาแสงสว่างให้เร็วที่สุด มุ่งไปเผชิญหน้ากับทุกๆสถานการณ์ที่เข้ามาในชีวิต เพราะไม่มีใครในโลกที่จะสุขตลอด หรือทุกข์ตลอด 

 

3.Action / ชีวิตมันสั้น คิดแล้วต้องรีบทำ

หลายครั้งที่คนเราโชคดี มีโอกาสดีๆ เข้ามา แต่ก็ได้แต่คิดเท่านั้น เพราะไม่กล้าที่จะลงมือทำ ผมอยากจะบอกว่าคุณพลาดมาก บางครั้งคนเรายังไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ก็กลัวความล้มเหลวไปก่อนแล้ว เพียงเพราะว่าความกลัวลึกๆในจิตใจผลักดันให้คุณไม่กล้าที่จะลงมือทำ ถ้าคุณเป็นอย่างที่ผมพูดมาจงสลัดสิ่งเหล่านี้ออกจากตัวคุณให้เร็วที่สุด และจงหัดเป็นคนคิดบวกและกล้าที่จะลงมือทำโดยไม่ต้องเน้นผลลัพธ์ตราบใดที่ไม่ได้ทำให้เรามีชีวิตที่ย่ำแย่หรือสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น

 

4.Marketing /จะทำธุรกิจ ไม่ใส่ใจการตลาดไม่ได้

บ่อยครั้งการทำธุรกิจก็ไม่ได้ผลลัพธ์ดั่งที่ใจเราต้องการ เพราะธุรกิจทุกประเภทย่อมต้องการกำไรเพื่อจ่ายเงินเดือนพนักงานและผู้บริหาร แต่เมื่อใดก็ตามที่กำไรลดลงนั่นหมายความว่าคุณต้องหันมาใส่ใจเรื่องการตลาดมากขึ้น คุณต้องรู้จักวางแผน ปรับปรุงคุณภาพสินค้าและบริการ และอย่าลืมที่จะหาช่องทางใหม่ๆในการสร้างโอกาศทางธุรกิจให้กับตัวเอง

 

"พี่ครับผมมีความสามารถ ผมอยากทำฟรีแลนซ์ แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี" นี่คือคำถามที่ผมมักได้ยินเป็นประจำจากพี่ๆ น้องๆ ชาวออฟฟิศทั้งหลาย  ซึ่งตัวผู้เขียนเองปัจจุบันทำฟรีแลนซ์เต็มตัวและพึ่งจะได้มีโอกาศเปิดบริษัทเป็นของตัวเองจริงจรังเมื่อไม่นานมานี้ จึงมีความคิดอยากแบ่งปันวิธีเริ่มต้นของการเป็นฟรีแลนซ์ให้กับชาวออฟฟิศทุกท่านที่มีความคิดอยากทำธุรกิจเสริมควบคู่ไปพร้อมกับงานประจำ หรือกลุ่มคนที่สู้เพื่อความฝัน เพื่อครอบครัว  ขอบอกเลยว่าวิธีนี้ มีหลายๆคนนำไปใช้แล้วประสบความสำเร็จจริง ซึ่งเรามาดูกันดีกว่าว่ามีวิธีอะไรบ้าง

 

1.ทำภาพโฆษณาให้เด่นนั้นคือจุดขาย

ภาพโฆษณาเปรียบเสมือนความประทับใจแรกพบ หลายๆท่านที่ทำฟรีแลนซ์อาจละเลยกับเรื่องพวกนี้ ซึ่งจะทำให้คุณพลาดโอกาสอดได้ลูกค้า เพราะว่าโดยส่วนใหญ่แล้วลูกค้ามักไม่รู้ว่าบริการของคุณนั้นดีกว่าหรือด้อยกว่าคู่แข่งอย่างไร  และจากสถิติแล้วคนจะทั่วไปมักจะดูเพียงแค่ภาพโฆษณาก่อนซื้อ เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากพลาดควรฝึกทำ PhotoShop หรือหัดเรียนแต่งรูปไว้บ้าง เพื่อที่จะได้ทำภาพโฆษณาสวยๆให้กับงานตัวเอง

gg

aftershave-cosmetic-advertising-concept1017-8194

ตัวอย่างรูป โฆษณาสวยๆ

 

 2.สร้างโปรไฟล์งานตัวเองใน Facebook Page หรือ จะสร้างเว็บไซต์ก็ได้ถ้าศักยภาพคุณถึง

หากคุณมีผลงาน หรือมีตัวอย่างสินค้า ขอบอกเลยว่าจงนำมันออกมาโชวให้ผู้คนเห็นบ้าง เพราะลูกค้าส่วนใหญ่มักดูตัวอย่างผลงานประกอบการตัดสินใจก่อนว่าจ้างเสมอ ในที่นี้ผมขอแนะนำวิธีง่ายและประหยัดที่สุดนั่นคือ การสร้าง Page Facebook จากนั้นให้นำตัวอย่างผลงาน  ภาพโฆษณา หรือ สินค้า ใส่ลงไปเลยครับ เอาให้เยอะที่สุดเท่าที่ทำได้ หรือใครที่มีความรู้เรื่องเว็บไซต์อยากจะสร้างเว็บเก๋ๆ แนวๆ ไว้ใส่ผลงานก็ไม่ว่ากัน   แต่อย่าลืมนะครับว่าคัดภาพที่จะมาลงนิดนึงครับ 

 

theknightตัวอย่าง Facebook Page และ Website โชวโปรไฟล์งานของเรา

 

 

 

 3.โปรโมท ผ่าน Social ไปเลย ยังไงก็ไม่เสียตัง

หากคุณมีครบทั้งภาพโฆษณาและ ช่องทางนำเสนอโปรไฟล์ของตัวเองไม่ว่าจะเป็น Facebook หรือ Website วิธีต่อไปที่คุณจำเป็นต้องทำอย่างยิ่งเลยนั่นคือ “ยิงโฆษณา” ผ่านช่องทาง Social ต่างๆ เพราะอะไรนะหรือ   เพราะมันฟรีไงหละครับคุณผู้ชม     ยกตัวอย่างหากคุณมีเพื่อนในไลน์สัก 100 คน และใน Facebook อีก 500 คน สมมุติว่าคุณขายของชิ้นนึงกำไร 200 บาท และมีเพื่อนจากไลน์ หรือ facebook ประมาณ 20 สั่งซื้อกับคุณ แค่นี้ คุณก็จะได้เงิน 4000 บาท ก็เข้ากระเป๋าโดยที่คุณแทบไม่ต้องลงทุนอะไรเลย    <ตัวผู้เขียนทำวิธีที่ 1-3 ซึ่งใช้เวลา 2 อาทิตย์ในการทำ และทำให้เดือนนั้น มียอดออร์เดอร์ จากเพื่อนใน Facebook และ line เข้าประมาณ ห้าหมื่นบาท ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าทำได้จริงนะครับ>

add

รูปตัวอย่าง โฆษณาผ่าน Social Media

 

 4.แปะโฆษณาตามกระทู้ฟรี และเว็บขายของฟรีต่างๆ

วิธีฟรีอีก 1 วิธีที่ประมาทไม่ได้เลย และถือเป็นการโฆษณางานของเราได้ดีมาก นั้นคือการไปฝากกระทู้งานเราผ่านเว็บฟรีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น kaidee.com   pantipmarket.com  bloggang.com หรือถ้าใครมั่นใจหน่อย ก็อาจจะไปเขียนแนะนำตัวเองในเว็บพันทิพก็ได้ไม่ว่ากัน ซึ่งจะช่วยให้คนรู้จักคุณมากขึ้น ยิ่งถ้าผลงานคุณเข้าตาลูกค้าแล้วละก็ การเป็นฟรีแลนซ์เงินแสนต่อเดือนก็ไม่ยากเกินที่จะไขว่คว้าจริงไหมครับ

download

รูปตัวอย่าง เว็บฝากโฆษณาฟรี

 

5.ปรับปรุงผลงาน พัฒนาฝีมืออยู่ตลอดเวลา

สุดท้ายแล้วไม่ว่าคุณจะมีลูกค้าเยอะจนรับงานไม่หวาดไม่ไหว ก็จงอย่าลืมพัฒนาฝีมือ รวมทั้งผลงาน และให้เน้นความซื่อสัตย์เป็นที่ตั้ง เพื่อให้เป็นที่ชื่นชมและสร้างความประทับใจกับลูกค้า และเชื่อเถอะครับว่าถ้าคุณทำดี ยังไงลูกค้าก็จะบอกกันไปปากต่อปากเอง เผลอๆคุณอาจจะลาออกจากงานประจำของคุณมาทำฟรีแลนซ์เต็มตัวก็ได้

 

 

 

 

how-to-design-logo1วิธีออกแบบโลโก้ให้สวยปัง ดึงดูดลูกค้า

 finexdesign-blog-compare-google-ads-vs-facebook-ads

Logo ที่ดีเป็นยังไง

-โลโก้ที่ดีคือโลโก้ที่ดูโดดเด่นสวยงาม ไม่เยอะจนเกินไป และต้องเข้ากันกับธุรกิจที่ท่านกำลังทำอยู่

 

รูปแบบโลโก้ ที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน โดยทั่วไปจะมีอยู่ประมาณรูปแบบ

 

1.โลโก้แบบป้ายสัญลักษณ์ เป็นโลโก้แบบแรกที่ผมขอกล่าวถึง ข้อดีของโลโก้ประเภทนี้ คือจะให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่ เป็นที่พักพิงของผู้คน และเป็นจุดศูนย์รวมของสรรพสิ่ง โดยธุรกิจทีเหมาะสมกับโลโก้ประเภทนี้ จะเน้นหนักไปทาง ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า ปั้มแก๊ส  บริษัทมหาชน หรือสถานที่ที่ต้องการให้เป็นจุดศูนย์รวมของผู้คน เป็นต้น

 

2017-06-04--004251

รูปตัวอย่างโลโก้ แบบสัญลักษณ์

 

2.โลโก้แบบเน้นตัวอักษร เป็นโลโก้ที่นิยมใช้กันมากที่สุดในปัจจุบัน อีกทั้งเหมาะกับธุรกิจตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ ข้อดีของโลโก้ประเภทนี้ จะเรียกว่าเป็นบิดาแห่งโลโก้ทั้งหมดในโลกก็ว่าได้ เพราะมันสามารถใช้ได้กับทุกกลุ่มธุรกิจจริงๆ  เพราะเป็นโลโก้ที่ให้ความรู้สึกเป็นกลาง และให้ความรู้สึกมาตรฐาน แต่จะดีมากถ้าใช้กับธุรกิจประเภทที่เกี่ยวข้องกับความทันสมัย อุปกรณ์ไอที เทคโนโลยี หรือพวกข่าวสารข้อมูล เป็นต้น

2017-06-04--005217

รูปตัวอย่าง โลโก้แบบตัวอักษร

 

3.โลโก้แบบรูปภาพ เป็นโลโก้แบบสุดท้ายที่จะกล่าวถึง ซึ่งจะมีความคล้ายคลึงกับโลโก้แบบสัญลักษณ์ แต่จะต่างกันตรงที่ว่าโลโก้ประเภทนี้มักจะมีรูปภาพที่สื่อความหมายตรงกับชื่อแบรนด์ และกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในปัจจุบัน เพราะดูเข้าใจง่าย และเข้าถึงตลาดได้รวดเร็ว แต่ข้อเสียของโลโก้ประเภทนี้คือ จะต้องใช้คนที่มีทักษะและความเข้าใจในเรื่องศิลปะผนวกกับการตลาดเป็นอย่างสูง เพราะหากทำออกมาไม่ดีก็จะกลายเป็นดูเยอะไป จนไม่น่าสนใจ เพราะลูกค้าจะไม่รู้ว่าโลโก้จะสื่อถึงอะไร โลโก้ประเภทนี้เหมาะกับการนำไปติดเป็นฉลากข้างหน้าบรรจุภัณฑ์ได้ทุกประเภท หรือจะใช้กับธุรกิจพวกอาหารก็สามารถทำได้เช่นกัน

 

 2017-06-04--010825

 

หลักการออกแบบโลโก้ที่ดี

1.ให้ท่านตรวจสอบว่าธุรกิจของท่านอยู่ในหมวดหมู่ใด  (หากนึกไม่ออกย้อนดูด้านบนได้เลยครับ)

 

2.ให้ทำการบ้านโดยการเช็คธุรกิจของคนอื่นที่ทำธุรกิจในรูปแบบเดียวกับท่านให้มากที่สุด ในที่นี้ไม่ได้หมายความให้ก๊อปปี้เค้านะครับ แต่เป็นการให้แน่ใจว่าโลโก้ของเราจะไม่ไปซ้ำกันกับของคู่แข่ง ซึ่งถ้าหากซ้ำ ถือว่าอันตรายมากเสี่ยงโดนฟ้องร้องได้

 

3.เริ่มต้นออกแบบโลโก้ ซึ่งในที่นี้ผมขอแนะนำ โปรแกรม Photoshop ,Softlink logo maker เป็นต้น เพราะใช้งานง่ายมาก

 

4.ให้ลองออกแบบมาซัก 3 แบบ แล้วถาม Feedback จากคนรู้จักของท่านว่ามีความรู้สึกแบบใหน ถ้าอันไหนมีคนชอบเยอะ ก็ให้เลือกอั้นนั้นมาพัฒนาต่อ หรือจะใช้จริงเลยก็ได้ แค่นี้ท่านก็จะได้โลโก้เจ๋งๆ เป็นของตัวเองแล้วครับ

 

คำเตือน การใช้โลโก้สำเร็จรูป มีความเสี่ยงที่โลโก้ของท่านจะซ้ำกันกับธุรกิจของคนอื่นสูง เพราะฉนั้นถ้าคิดจะก๊อปปี้ของคนอื่น ห้ามก๊อปปี้เกิน 30 % เพราะมันจะดูออกง่ายมากว่าท่านก๊อปปี้มา

 

ด้วยความปรารถนาดี

 finexdesign-google-ads-digital-marketing

 

 

 

 

Page 3 of 3